วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

วัฏฏกาชาดก...ว่าด้วยอำนาจแห่งการตั้งสัตยาธิษฐาน

 

 



วัฏฏกาชาดก เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ด้วยใจที่เป็นสมาธิ ระลึกนึกถึงบุญที่เคยกระทำมาในทุก ๆ บุญ

 

ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังชนบทแห่งหนึ่ง ในแคว้นมคธ พระพุทธองค์ทรงนำหมู่ภิกษุสงฆ์ไปในป่าลึก เพื่อแสวงหาที่สงบ กระทำรุกขมูล เจริญภาวนาสู่วิถีแห่งวิโมกขธรรมดังเคยปฏิบัติแต่นานมา  ขณะนั้นบริเวณป่าที่หมู่สงฆ์เจริญภาวนาอยู่นั้น ได้เกิดไฟไหม้ลุกลามขึ้นจากแนวไฟเล็กน้อย เพิ่มบริเวณเป็นมหันตภัยเป็นบริเวณกว้าง

 

 และในเวลาไม่ช้าไฟป่าก็โหมเข้าล้อม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายไว้โดยรอบ มิเห็นช่องทางจะออกมาได้เลย ภิกษุรอบนอกได้กลิ่นควันและรู้สึกร้อนจึงพากันหยุดภาวนา “ท่าน..ได้กลิ่นเหม็นบ้างหรือเปล่า” “ใช่ๆๆ กลิ่นเหม็นใกล้เข้ามาทุกที” “ผิวกายนี่ร้อนผ่าวเหมือนยืนหน้าเตาไฟ เอ๊ะ!...หรือว่าไฟไหม้ป่า”

 

“นั่นไงท่าน ไฟลุกไหม้อยู่ทางโน้นจริง ๆ ด้วย เร็ว ๆ เข้าหนีไปทางโน้นกันเถอะ” “นั่นเสียงใครดังอยู่ข้างนอก เอะอะโวยวายอะไรกัน” “นั่นไฟไหม้นี่ แย่แล้ว ไฟมันลามเข้ามาทางนี้ด้วย หนีกันเถอะ” “โอ๊ะ.. แย่แล้วไฟไหม้หนีเร็ว” ในไม่ช้าพระสงฆ์ทุกรูปก็หนีมารวมกลุ่มกัน กลางวงล้อมของไฟ ทุกรูปหวาดกลัวและมองหาทางหลบหนี

 

“ไฟป่าช่างน่ากลัวเกิน แล้วนี่พวกเราจะหนีไปทางใดละนี่” “โอ้..ร้อนจริง ๆ เลย เหม็นกลิ่นควันด้วย” “โห้..ท่านมองทางนั้นซิ ไฟลุกลามไหม้ต้นไม้ใหญ่แล้ว” “ทำยังไงดีละพวกเรา ไฟป่าลามเข้าจะถึงตัวเราแล้ว” “ใครก็ได้ช่วยหยุดไฟป่าพวกนี้ที” “เราช่วยกันหาอะไรมาขวางกันไว้ดีไหม อย่างน้อยไฟจะไหม้มาทางเราช้าลง”

 

“หยุดมันได้จริงหรือท่าน เรานะกลัวว่ามันจะยิ่งลามเข้ามานะซิ” “ดีกว่าอยู่เฉย ๆ หรือจะเอาไฟไปจุด เพื่อให้ไฟกับไฟปะทะกัน ก็น่าจะพอหยุดยั้งได้บ้างนะ” “ช้าก่อนเถิดพวกเรา ต้องไม่ลืมว่ากำลังตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มากยิ่งในพระบารมีอยู่” “นั่นซิน่ะ พระองค์ต้องช่วยเราได้แน่ ๆ” “ถูกแล้วเราจึงไม่ควรทำสิ่งใดโดยพละการ ดังเหมือนไม่เคารพในพระองค์

 

ซึ่งอุปมาว่าอยู่ภายใต้พระจันทร์และพระอาทิตย์ แต่มองไม่เห็นแสงสว่างเช่นนี้” “แล้วท่านจะให้เราทำเช่นไร ไฟลุกไหม้เข้ามาทุกทีแล้ว หากเราไม่ทำการแก้ไข ไฟอาจจะลุกไหม้ถึงพระองค์ได้” “ไม่หรอกน่าท่าน เราควรไปเฝ้าพระบรมศาสดา ขอพระบารมี มาดับทุกข์ร้อนครั้งนี้กันดีกว่า” “อือ..งั้นเรารีบไปเข้าเฝ้าพระศาสดากันเถิด”

 

ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้สติ ก็พากันทำสมาธิไว้มิให้ตกใจตื่นกลัว จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ กึ่งกลางวงล้อมไฟป่าเช่นกัน ในตอนนั้นเปลวไฟไหม้โหมหนักขึ้น เพราะแรงลมจัด แต่เมื่อไฟโชนเข้าไปใกล้ที่พระพุทธองค์ประทับ ทันใดนั้นไฟอันประทุโชติช่วง กลับหยุดสนิทดับสิ้น ดุจคบเพลิงที่จุ่มลงน้ำแล้วดับวูบลง

 

แผ่กว้างเป็นรัศมีรายรอบประมาณ 5 เส้น พระภิกษุทั้งหลายเห็นพระพุทธบารมีเช่นนั้น ก็พากันสรรเสริญโดยเคารพ “ทรงมีอานุภาพนัก แม้ไฟป่าซึ่งเป็นธรรมชาติ ก็ไม่อาจไหม้มาถึงที่ประทับได้เลย” “ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ สาธุ” พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้สดับถ้อยคำดังนั้น จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อครั้งเคยผจญอัคคีในป่าใหญ่แห่งนี้ขึ้น

 

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ไฟไหม้เข้ามาถึงบริเวณนี้ แล้วดับลงเองนั้น มิใช่เป็นเพราะอานุภาพของตถาคตในบัดนี้ แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งสัตยาธิษฐานของตถาคต ในชาติก่อนโน้น และนับแต่ชาตินั้นมา ที่บริเวณนี้ ไฟจักไม่ไหม้เป็นอันขาด และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกัป” อดีตกาล ณ ผืนป่าใหญ่ในมคธรัฐแห่งนี้

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม วัฏฏกาชาดก ว่าด้วยการตั้งสัตยาธิษฐาน

 

ยังมีนกคุ่มคู่หนึ่ง สร้างรังอยู่กลางพื้นโดยมีผืนป่าโอบล้อมไว้รายรอบ

 “อยู่ในนี้นะจ๊ะลูก แม่จะฟักเจ้าให้เติบโตเป็นนกที่แข็งแรง” พ่อนกเมื่อกลับมาจากหาอาหาร ก็มาเฝ้าดูแม่นกกกไข่ทุกวัน “แม่จ๋า พ่อกลับมาแล้ว วันนี้ลูกเป็นยังไงบ้างละจ๊ะแม่” “จวนจะออกมาจากไข่แล้วละจ๊ะพ่อ” “ฮ้า! ดีใจจังเลย เราจะได้เห็นหน้าลูกของเราแล้วนะจ๊ะแม่” “ใช่จ๊ะพ่อ”

 

พ่อนกและแม่นกต่างก็ตื่นเต้น ใจจดใจจ่อรอดูหน้าลูก แต่แล้วชะตาร้ายก็มาเยือน เมื่อวันหนึ่งมีไฟไหม้ป่า ในวันเดียวกันนี้เอง ลูกนกคุ่มตัวน้อยก็ฟักออกจากไข่ “อึบ..อ้า..ออกมาได้แล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋าลูกออกมาแล้ว”

 

น่าสลดใจยิ่งนักพ่อนกและแม่นกได้ทิ้งลูกน้อยบินหนีไฟไปเสียแล้ว พ่อนกแม่นกมิรู้เลยว่า ลูกน้อยที่เค้าทั้งสองเฝ้าคอยชื่นชมนั้นได้ออกมาจากไข่แล้ว

 

“หนีก่อนเถอะแม่ เราน่ะ เอาลูกไปด้วยไม่ได้หรอก ลูกยังไม่ออกจากไข่เลย” “ลูกแม่ แม่ขอโทษนะลูก ฮือๆๆ”

 

ลูกนกคุ่มช่างน่าสงสารเพิ่งออกจากไข่แท้ๆ ขนก็ยังขึ้นไม่เต็มตัว ปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็ง แต่ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่าเช่นนี้ ดังถูกทิ้งให้รอความตาย “ฮือๆๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮือๆ นี่ถ้าปีกเรามีขนพอจะบินได้ เราก็คงจะบินหนีไป ถ้าเท้าและขามีแรงพอก็จะเดินหนีไปไม่รอความตายอยู่เช่นนี้” ลูกนกคุ่มอนาจกับชะตาชีวิตของตน มองดูร่างอันกระจ้อยร้อย ไม่มีขน ไม่มีแรงจะบิน และเดินหนีกองไฟอันมหึมาได้ “ฮือๆๆ ดูเอาเถิด แม้แต่พ่อแม่ของเรา ยังทิ้งเราเพื่อเอาชีวิตรอด ฮือๆ เราไม่มีที่พึ่งใดๆ อีกแล้ว ฮือๆๆ”

 


ด้วยอานิสงส์แห่งความดี ที่ได้ตั้งใจทำมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำให้ลูกนกคุ่มคุมสติได้โดยดี ซ้ำยังระลึกถึงศีลและสัจจะได้ว่ามีอยู่จริง มีอยู่คู่โลกตลอดมา “เมื่อไม่มีใครช่วยก็คงต้องช่วยตัวเอง” ลูกนกคุ่มระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต  คุณของพระธรรม คุณแห่งศีลที่มีอยู่ในโลกขึ้นทำสัตยาธิษฐาน

 

“ปีกของเรามีอยู่ แต่บินไม่ได้ เท้าทั้งสองมีอยู่ก็เดินไม่ได้ พ่อแม่เรามีอยู่แต่บินหนีไป ด้วยสัจจะวาจานี้ไฟเอ๋ย จงถอยกลับไปเสียเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่เราและสัตว์ทั้งหลายเลย” ด้วยบุญบารมีที่ลูกนกคุ่มเคยบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และด้วยแรงอธิษฐานนี้

 

ลูกนกคุ่มทำใจให้ใสบริสุทธิ์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึกถึงบุญบารมี คุณแห่งศีลและสัจจะของตนที่เคยกระทำมา ก่อนที่จะทำสัตยาธิษฐาน เปลวไฟที่ลุกไล่เข้ามาจึงดับสนิทลงทันทีทันใด และด้วยแรงอธิษฐานนั้นป่าในรัศมีห้าเส้นจากรังนกคุ่มบริเวณนี้ จึงมิเคยมีอันตรายจากไฟป่า แม้แต่สักครั้งสืบมาจนถึงพุทธกาลสมัย เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยะสัจ 4_โดยเอนกปริยาย

 

 

ด้วยแรงอธิษฐานของลูกนกคุ่มทำให้ไฟป่ามอดดับลงอย่างอัศจรรย์

 

ภิกษุในที่นั้นบังเกิดความปรีดาปราโมทย์ ต่อการสดับพระธรรมนั้น เข้าถึงกายธรรมอันลุ่มลึกโดยทั่วถ้วน

 

 

ในสมัยพุทธกาลพ่อแม่ของลูกนกคุ่ม

กำเนิดเป็นพระเจ้าสุทโธธนะและพระนางสิริมหามายา

พระพุทธบิดาพระพุทธมารดา

ลูกนกคุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า


Cr.dmc.tv

 

ในภาวะปัจจุบันได้เกิดภัยพิบัติจากธรรมชาติ และโรคระบาดไวรัสโควิด – 19 ไปทั่วโลก ทำให้มีผู้คนเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก ด้วยสาเหตุมนุษย์ทั่วโลกบุญในตนหย่อน เพราะต่างดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ขาดในการเข้าวัดสั่งสมบุญสร้างความดี ปฏิบัติตนย่อหย่อน วัดก็ไม่เข้า ศีลก็ไม่รักษา   ประพฤติตนแก่งแย่งชิงดีและเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ภาวนาก็ไม่ปฏิบัติ ปล่อยให้ใจพอกพูนไปด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง หลงใหลมัวเมาในลาภสักการะ ไม่คิดที่จะละ และขัดเกลากิเลสในตนให้เบาบาง

 

โลกใบนี้จะร่มเย็นเป็นสุข สิ่งดี ๆ นี้จะเกิดขึ้นได้เราทุกคนบนโลกใบนี้ ควรร่วมด้วยช่วยกัน เพราะลำพังเราผู้เดียวไม่สามารถจะช่วยโลกใบนี้ได้   เราทุกคนบนโลกใบนี้ยังมีลมหายใจ เราก็ยังมีความหวังที่จะช่วยโลกใบนี้ให้ปลอดภัยจาก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภัยจากภูเขาไฟประทุที่ มาราปีประเทศอินโดนีเซีย และภัยจากไวรัสโควิด – 19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ณ เวลานี้

 

เพียงเราทุกคนตั้งสติ นึกถึงบุญนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ซึ่งมีคุณอันไม่มีประมาณ นึกถึงสัจจะคุณความดีที่พวกเราทุกคน ได้ตั้งใจกระทำมาด้วยดีนับภพนับชาติไม่ถ้วนที่ผ่านมาในอดีตชาติ




และบุญบารมีที่พวกเราทุกคนทั่วโลก ได้ร่วมกันต้อนรับพระธรรมยาตรา(ออนไลน์) ครั้งที่ 9 ผ่าน Application Zoom เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาและบูชาคุณมหาปูชนียาจารย์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม   2564 จนถึงบัดนี้

 

โปรดดลบันดาลให้โลกใบนี้ เป็นโลกแก้วสะอาดสว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรม ขจัดทุกข์โศกโรคภัย เชื้อไวรัส โควิด -19 ให้มลายหายสูญไปจากโลกแก้วใบนี้อย่างอัศจรรย์  


สุดท้ายนี้ เหลือเวลาอีก 2 วันก็จะสิ้นสุดโครงการธรรมยาตรา(ออนไลน์) ครั้งที่ 9 ผ่าน Zoom ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมต้อนรับพระธรรมยาตรา 1,250 รูป ในวันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2564 ตั้งแต่เวลา 15.30 น. และร่วมจุดโคมประทีปบูชาธรรม พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ในวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2564 ตั้งแต่เวลา 17.30 น.

 

ปรารถนาให้โลกเป็นเช่นใด

อยู่ที่สองมือเราและทุกคนบนโลกใบนี้ร่วมรังสรรค์

ขอกราบอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ สาธุค่ะ


เอ๋ จินตนา


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอก :  

ชาดก 500 ชาติ เรื่อง วัฏฏกาชาดก

ภาพประกอบ  dmc.tv

ร่วมต้อนรับพระธรรมยาตรา (ออนไลน์)ได้ที่ลิงค์ : www.dmc.tv/2564

รายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ลิงค์นี้  : www.dmc.tv/zoom


วัฏฏกาชาดก...ว่าด้วยอำนาจแห่งการตั้งสัตยาธิษฐาน

    วัฏฏกาชาดก เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ด้วยใจที่เป็นสมาธิ ระลึกนึกถึงบุญที่เคยกระทำมาในทุก ๆ บุญ   ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระสัม...